Welcome Guys

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

คลังบทความของบล็อก

ความจริงของพลังงาน และกองทุน ที่มาของหนี้และทิศทาง 17 กย 55

Written By Unknown on วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555 | 01:49

วันนี้ไปเจอบทความที่เกี่ยวกับพลังงาน  ซึ่งอ่านแล้วก็น่าตกใจ ว่าวันๆ เรามีหนี้สาธารณะมากขึ้นขนาดไหน ซึ่งก็มีกลุ่ม องค์กรที่พยายามจะ โจมตี โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ผมขอแชร์บทความดังกล่าวนะครับ  จะได้เป็นอุทธาหรณ์เตือนใจว่า จริงๆ เราอยู่ในสถานะไหนกันแน่ ครับ  เพื่อนๆ เห็นต่างสามารถแสดงความคิดเห็นได้เลยนะครับ

image

01:49 | 0 ความคิดเห็น | Read More

พลังงานเกียร์ว่างรอโชว์ผลงาน1ปี ดวงพักตรา ไชยพงษ์

Written By Unknown on วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 | 21:44

ระยะนี้เข้าสู่ช่วงแถลงผลงานรัฐบาล 1 ปี จะเห็นได้ว่ากระทรวงต่างๆ บริหารงานกันอย่างระมัดระวังชื่อเสียงกันมากที่สุด จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงปล่อยเกียร์ว่างไปซะแล้ว โดยเฉพาะกระทรวงพลังงานที่เน้นแนวทางตรึงราคาไว้แทบทุกอย่าง และอดทนจนกว่าจะผ่านพ้นช่วงโชว์ผลงานไปแล้วนั่นแหละ จึงจะกลับมาจัดการแก้ปัญหาราคาพลังงานให้แล้วเสร็จ
    ที่เห็นกันชัดๆ คือการตรึงราคาดีเซลไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร แม้ราคาน้ำมันตลาดโลกจะปรับขึ้น แต่กระทรวงพลังงานก็ยังไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันขึ้นราคา แถมไม่เอาเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาช่วยพยุงค่าการตลาดให้ผู้ค้าน้ำมันอีกต่างหาก ทั้งนี้ นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยืนยันจะใช้มาตรการขอความร่วมมือให้ผู้ค้าน้ำมันช่วยรับภาระไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกองทุนน้ำมันฯ แบกภาระอยู่
    งานนี้ผู้ค้าน้ำมันถึงกับกลืนไม่เข้าคายก็ไม่ออก โดยค่ายน้ำมันบางจากฯ ออกมาระบุแล้วว่าขาดทุนไปแล้ว 100 ล้านบาท ขณะที่ค่าย ปตท.ขาดทุนไปแล้วกว่า 300 ล้านบาท ส่วนค่ายเล็กค่ายน้อยรับภาระขาดทุนไม่ไหวก็ขอปรับขึ้นราคาเอาตัวรอดไปก่อน
    ทั้งนี้ สาเหตุลึกๆ ส่วนหนึ่งมาจากไม่ต้องการให้กระทบความรู้สึกของประชาชน เพราะการปรับขึ้นราคาดีเซลเกิน 30 บาทต่อลิตร จะทำให้รู้สึกว่าค่าขนส่ง ค่าโดยสารแพงขึ้น และกระทบไปสู่ราคาค่าอาหารและเงินเฟ้อของประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้คะแนนเสียงของรัฐบาลเกิดสั่นสะเทือนขึ้นทันที ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ช่วงการประกาศผลงานรัฐบาลทุกอย่างจะต้องดูสวยหรู ซึ่งราคาดีเซลจึงปรับขึ้นช่วงนี้ไม่ได้ แม้กองทุนน้ำมันฯ ซึ่งเป็นเครื่องมือการพยุงราคาดีเซลจะติดลบไปแล้วกว่า  15,000 ล้านบาท ก็จำต้องหันมาบีบผู้ค้าน้ำมันให้ลงมาคลุกฝุ่นช่วยกันด้วย
    ตรึงที่ 2 คือ การปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ที่ปัจจุบันตรึงราคากันอยู่ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่เดือน พ.ค.2555 จนถึงปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ แม้จะมอบหมายให้ทางสถาบันจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการศึกษาโครงสร้างราคาเสร็จแล้ว แถมพูดคุยกับกลุ่มแท็กซี่ รถบรรทุก และรถโดยสารสาธารณะมาโดยตลอด ซึ่งทำท่าจะได้ข้อสรุปในไม่ช้า แต่แล้วก็ต้องยืดระยะเวลาการสรุปราคาเอ็นจีวีออกไปเป็นต้นปี 2556 แทน
    เนื่องด้วยองค์ประกอบการสรุปโครงสร้างราคาเอ็นจีวีไม่ครบ 3 ส่วน นั่นคือ 1.ราคาเนื้อก๊าซธรรมชาติ ซึ่งขณะนี้ได้จัดทำเสร็จไปแล้ว และ 2.ราคาก๊าซธรรมชาติบริเวณแนวท่อส่งก๊าซฯ ซึ่งก็เสร็จแล้วเช่นกัน จะเหลือก็แต่องค์ประกอบที่ 3 คือ ราคาค่าใช้บริการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ หรือที่เรียกว่าค่าผ่านท่อ ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์เป็นผู้รับผิดชอบจัดทำอยู่ ซึ่งล่าสุดเรกูเลเตอร์ได้ส่งหนังสือแจ้งกระทรวงพลังงานว่าจะจัดทำเสร็จสิ้นปี 2555 นั่นหมายความว่าการพิจารณาโครงสร้างราคาเอ็นจีวีจะต้องเลื่อนออกไปเป็นต้นปี 2556 แทน
    ทั้งนี้ มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการถ่วงเวลามากกว่า เพราะหากครบองค์ประกอบ 3 ประการเมื่อไหร่ ก็หมดสิทธิ์อ้างการตรึงราคาเอาไว้ได้ สาเหตุที่ยังปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีช่วงนี้ไม่ได้ แน่นอนนั่นเป็นเพราะการปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีเสี่ยงต่อการชุมนุมประท้วงของผู้ประกอบการที่ใช้เอ็นจีวี ซึ่งกระทรวงพลังงานย่อมกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนสมัยที่ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ เป็น รมต.พลังงาน ซึ่งถูกประท้วงปิดถนนต่อต้านนโยบายการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และเอ็นจีวีกันอย่างอลม่าน จนท้ายที่สุดต้องถูกปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่รัฐบาลจะยอมให้เกิดขึ้นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานตอนนี้ไม่ได้เช่นกัน
    และตรึงล่าสุดคงหนีไม่พ้นการตรึงค่าเอฟที หรือค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ ประจำงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.2555 ไว้ที่ 48 สตางค์ต่อหน่วย จากอัตราจริงที่ต้องขึ้นถึงระดับ 68.24 สตางค์ต่อหน่วย การตรึงค่าเอฟทีรอบนี้ส่งผลให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องแบกรับภาระค่าเอฟทีแทนประชาชนอีก 10,504 ล้านบาท และ กฟผ.จำเป็นต้องแบกโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจที่ต้องทำตามนโยบายรัฐบาล
    ทั้งนี้ ก็คาดหวังไม่ได้ว่าหนี้ค่าเอฟทีจะหมดจริงหรือเปล่า เนื่องจากแนวโน้มในงวดต่อปีคือต้นปี 2556 เรกูเลเตอร์ก็แย้มๆ ว่า อัตราค่าเอฟทีมีสิทธิ์ปรับขึ้นได้อีก เพราะราคาค่าเชื้อเพลิงยังสูงอยู่ ดังนั้นหนี้เก่าก็ใช้ไป ส่วนหนี้ใหม่ก็กลับมาอีก
    อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีทั้งกระทรวงพลังงานว่า แนวโน้มราคาพลังงานในอนาคตมีแต่จะเพิ่มขึ้น เพราะทั้งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเริ่มหมดลง ที่เหลืออยู่ก็ต้องใช้ต้นทุนทางเทคโนโลยีสูงในการผลิต ดังนั้นไม่ว่าภาครัฐจะซื้อเวลาตรึงราคาพลังงานทุกอย่างไปได้นานสักเท่าไหร่ ท้ายที่สุดก็ต้องส่งผ่านมายังประชาชนอยู่ดี
    และคงต้องติดตามว่าหากผ่านพ้นช่วงการประกาศผลงานรัฐบาลไปแล้ว พลังงานชนิดใดที่จะถูกปรับขึ้นก่อนเพื่อลดภาระดินพอกหางหมูของกระทรวงพลังงานในขณะนี้ เพราะระยะเวลาแห่งการแถลงผลงานรัฐบาลย่อมจบลงในไม่ช้า เช่นเดียวกับราคาพลังงานที่ถึงทางตันต้องเลิกอุดหนุนก่อนเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กระทรวงพลังงานปักธงรอไว้แล้ว.
...................................

21:44 | 0 ความคิดเห็น | Read More

ผลการดำเนินงานในรอบ 1 ปี กระทรวงพลังงาน ตามนโยบายรัฐบาล

Written By Unknown on วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 | 01:38

รมว.พลังงานแถลงผลการดำเนินงานในรอบ 1 ปี ของกระทรวงพลังงาน เผยรัฐบาลตรึงราคาพลังงานเพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน พร้อมเน้นการดำเนินงานด้านความมั่นคงพลังงาน พลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน วันนี้ (6 กันยายน 2555) เวลา 14.00 น. ห้องประชุมกลาง ศูนย์เอ็นเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ อาคารบี กระทรวงพลังงาน ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แถลงผลการดำเนินงานของกระทรวงพลังงาน ในรอบ 1 ปี ตามนโยบายรัฐบาล สรุปสาระสำคัญดังนี้ กระทรวงพลังงาน ถือเป็นกระทรวงที่มีภารกิจหลักในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และกำกับ ดูแลราคาพลังงานของประเทศ ให้มีความเหมาะสมและมีเสถียรภาพ เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องมีประสิทธิภาพและประชาชนได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาพลังงานน้อยที่สุด

สำหรับผลการดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วน 1 ปีที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จ โดยกระทรวงพลังงานสามารถดูแลราคาพลังงานให้เหมาะสม เป็นธรรม ลดภาระค่าครองชีพของประชาชนได้ ซึ่งปัญหาที่มีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมัน โดยชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชั่วคราว ได้มีการปรับลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของน้ำมันเบนซิน 95 เบนซิน 91 และดีเซล ซึ่งมีผลทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงลิตรละ 8 บาท เบนซิน 91 ลดลงลิตรละ 7 บาท และดีเซลลดลงลิตรละ 3 บาท
นอกจากนั้น มีการออกบัตรเครดิตพลังงาน NGV สำหรับรถรับจ้างสาธารณะ รถแท็กซี่ รถตู้ และรถสองแถว โดยเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2554 มีผู้เข้าร่วมโครงการได้รับส่วนลดมากกว่า 85,000 ใบ และมีผู้ได้รับบัตรเครดิตมากกว่า 22,800 คน พร้อมทั้งได้เปิดโครงการบัตรเครดิตพลังงานยกกำลัง 2 เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิตพลังงาน NGV กลุ่มรถแท็กซี่ รถสามล้อ รถตู้ร่วม ขสมก.และวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างด้วย

สำหรับนโยบายในด้านต่าง ๆ ของกระทรวงพลังงาน ได้เน้นการดำเนินงาน ที่สำคัญ ๆ 5 ด้าน ดังนี้

1. ด้านความมั่นคงด้านพลังงาน ได้แก่ การสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) การสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ (SPR) ของประเทศเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางด้านพลังงาน โดยได้กำหนดเป้าหมายการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเบื้องต้นไว้ที่ 90 วันจากเดิม 36 วันของความต้องการใช้ภายในประเทศ จัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) โดยเฉพาะในส่วนนโยบายด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นพื้นฐานรองรับการขยายกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยนับเป็นครั้งแรกที่มีการบูรณาการแผนพลังงานต่างๆ เข้าด้วยกัน

2. ด้านพลังงานทดแทน ได้แก่ เป้าหมายและแผนงานรองรับการพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศ นโยบายส่งเสริมการใช้เอทานอลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะมาตรการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซินออกเทน 91 เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์

3. ด้านการอนุรักษ์พลังงาน ได้แก่ แผนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงาน บังคับให้หน่วยราชการทุกแห่งประหยัดพลังงานลงอย่างน้อยร้อยละ 10 ซึ่งจะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ 316.9 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินมูลค่า 950 ล้านบาท เป็นต้น

4. การช่วยเหลือด้านอื่นๆ ได้แก่ การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยโดยผ่านคูปองเพื่อเป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าประหยัดพลังงานเบอร์ 5 และการช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างสาธารณะผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรเครดิตพลังงาน

5. การจัดหาปิโตรเลียมและการจัดเก็บผลตอบแทนแก่รัฐ ได้แก่ การจัดหาปิโตรเลียม กำกับดูแลให้ผู้รับสัมปทานสามารถจัดหาปิโตรเลียมทั้งในพื้นที่ตามสัมปทาน และพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย รายได้ของรัฐจากการประกอบกิจการปิโตรเลียมรวมทั้งสิ้น 75,503 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้จัดเก็บเข้าแผ่นดินอันดับ 4 ของประเทศโดยที่ได้มีการจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งสิ้น 4,308 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ ในปี 2556 กระทรวงพลังงานจะมุ่งเน้นในการจัดหาแหล่งพลังงาน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ และดำเนินงานด้านพลังงานควบคู่ไปกับการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนด้านพลังงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อเป็นการก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกิจด้านพลังงานของภูมิภาคต่อไป
01:38 | 0 ความคิดเห็น | Read More

นำเข้าน้ำมันจ่อทะลุล้าน

Written By Unknown on วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555 | 22:21

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า ภาพรวมการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง (น้ำมันดิบและสำเร็จรูป) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2555 เฉลี่ยอยู่ที่ 9.75 แสนบาร์เรล/วัน คิดเป็นมูลค่า 6.46 แสนล้านบาท โดยคาดว่าทั้งปีการนำเข้าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าระดับ 1 ล้านล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกยังทรงตัวระดับสูงและการใช้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการใช้น้ำมันรวมครึ่งปีแรกปี 2555 ปรับขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาโดยเบนซินเพิ่มขึ้น 1% กลุ่มดีเซลเพิ่ม 6% ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) 10% เอ็นจีวี 20%
22:21 | 0 ความคิดเห็น | Read More

รมว.พลังงานโวประเมินผลงานรบ. 1 ปี สอบผ่าน เล็งอุดกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่ม

นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงการทำงานภายใต้การบริหารงานน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ว่า หากประเมินตนเองแล้วถือว่าสอบผ่าน แต่คงไม่ได้รับเกียรตินิยม เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย เช่น การปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) และก๊าซหุงต้ม (LPG) เดิมจะทำให้สำเร็จตั้งแต่เดือนมกราคม ที่ผ่านมา แต่ยังมีเงื่อนไขต่างๆ ที่ต้องดำเนินการ ส่วนโครงการคูปองส่วนลด 2,000 บาท ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็สามารถแก้ปัญหาให้เดินหน้าต่อไปได้ ขณะที่การตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตรนั้น ส่วนตัวไม่เห็นด้วย แต่รัฐบาลก็จำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อดูแลผลกระทบราคาสินค้าและค่าครองชีพ เพราะปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต้องนำเงินไปอุดหนุนราคา 60 สตางค์ต่อลิตร และมีแนวโน้มต้องอุดหนุนเพิ่มขึ้น และในช่วงปลายปีนี้ คงต้องประเมินสถานการณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงคมนาคมต่อไปว่า ราคาดีเซลควรอยู่ในระดับใด ถึงจะเหมาะสมกับเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ นายอารักษ์ ยังกล่าวอีกว่า กระทรวงพลังงานจะเดินหน้านโยบายเพิ่มสำรองน้ำมันตามกฎหมาย จากร้อยละ 5 ของปริมาณการค้าประจำปี เป็นร้อยละ 6 หรือ จากการสำรอง 38 วัน เพิ่มเป็น 44 วัน ส่วนกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันยังไม่พร้อม และจะขอเลื่อนเวลาดำเนินการออกไป 2 - 3 ปีนั้น ก็สามารถพิจารณาตามหลักเหตุและผลร่วมกันได้ แต่ยังคงไม่สามารถประกาศให้ดำเนินการได้ภายในปีนี้อย่างแน่นอน ส่วนการลงทุนสำรองน้ำมันให้ได้ 90 วันนั้น ยังอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบวิธีดำเนินการให้เหมาะสม แต่เบื้องต้น มีแนวคิดว่าภาครัฐควรเข้าไปเกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด และอาจใช้เงินจากสถาบันการเงินมาบริหารจัดการ ซึ่งส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้ เพราะผลการศึกษาแผนดังกล่าว ยังไม่แล้วเสร็จ
22:05 | 0 ความคิดเห็น | Read More

รัฐตรึงราคา ดันยอดใช้เบนซินพุ่งกระฉูด ไทยนำเข้าน้ำมัน 8.52 หมื่นล้านบาท

Written By Unknown on วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555 | 01:34

กรมธุรกิจพลังงาน เผยเดือนกรกฎาคม ใช้น้ำมันลดลงเหตุหน้าฝน เดินทางท่องเที่ยวน้อย ราคาแพงทำให้ไทยต้องจ่ายเงินนำเข้าน้ำมันกว่า 8.52 หมื่นล้านบาท ชี้เดือนสิงหาคม มีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉพาะเบนซินเพราะรัฐบาลเข้าแทรกแซงราคา ช่วยลดภาระประชาชน ทำให้ยอดใช้มากขึ้น นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยถึงภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเดือนกรกฎาคม 2555ว่าปรับลดลงจากเดือนมิถุนายน เกือบทุกชนิด เนื่องจากเดือนกรกฎาคม เป็นช่วงฤดูฝนทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยวลดลง และเป็นช่วงที่หมดฤดูการเกษตร รวมถึงราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ความต้องการใช้พลังงานลดลง โดยกลุ่มเบนซินมีปริมาณการใช้อยู่ที่ 20.19 ล้านลิตร/วัน ลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แบ่งเป็น เบนซิน 91 และเบนซิน 95 การใช้อยู่ที่ 8.66 ล้านลิตร/วัน ลดลง 6.5% ส่วนกลุ่มแก๊สโซฮอล์ มีการใช้อยู่ที่ 11.54 ล้านลิตร/วัน ลดลง 3% ส่วนดีเซลมีปริมาณการใช้อยู่ที่ 53.58 ล้านลิตร/วัน ลดลง 5.5% ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ เอ็นจีวี มีการใช้อยู่ที่ 7.55 ล้านกิโลกรัม/วัน ลดลง 3.1% สำหรับปริมาณการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือ แอลพีจี มีปริมาณการใช้อยู่ที่ 623,152 ตัน เพิ่มขึ้น 5.3% แบ่งเป็น แอลพีจี ภาคครัวเรือนมีการใช้อยู่ที่ 255,928 ตัน เพิ่มขึ้น 2.2%แอลพีจีภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ 53,758 ตันเพิ่มขึ้น 5.9% แอลพีจีภาคขนส่ง อยู่ที่ 88,822 ตัน เพิ่มขึ้น 3.4% แออลพีจีปิโตรเคมี อยู่ที่ 224,644 ตัน เพิ่มขึ้น 9.8% ขณะที่ปริมาณการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนกรกฎาคมโดยรวมอยู่ที่ 865,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลง 7.1% คิดเป็นมูลค่า 85,201ล้านบาท แบ่งเป็น การนำเข้าน้ำมันดิบ 809,000 บาร์เรล/วัน ลดลง 6.7% น้ำมันสำเร็จรูป 55,000 บาร์เรล ลดลง 12.6% ขณะที่การนำเข้าแอลพีจีอยู่ที่ 106,467 ตัน คิดเป็นมูลค่า 2,227 ล้านบาท ส่งผลให้รัฐบาลต้องจ่ายเงิยชดเชยประมาณ 1,100 ล้านบาท ส่วนการส่งออกอยู่ที่ 163,000 บาร์เรล/วัน ลดลง 29.3% คิดเป็นมูลค่า 17,567 ล้านบาท นายวีระพลกล่าวถึงแนวโน้มการใช้น้ำมันในเดือนสิงหาคม ว่า คาดว่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้นจากในเดือนกรกฎาคมโดยคาดว่าการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 21.2 ล้านลิตร/วัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาลในการดูแลราคาพลังงานเพื่อลดภาระของประชาชนในช่วงน้ำมันแพง ขณะที่ดีเซลจะลดลงมาอยู่ที่ 50.2 ล้านลิตรต่อวัน ส่วนการใช้แอลพีจีคาดว่าจะใกล้เคียงกับเดือนกรกฎาคม ที่ 626,000 ตัน/เดือน เนื่องจากยังอยู่ในช่วงฤดูมรสุม สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบนั้นทางสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในครึ่งปีหลัง ว่า น้ำมันดิบเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 103 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2555 ขยับขึ้นจากความหวังครั้งใหม่ว่ายุโรปจะลงมือสกัดวิกฤติหนี้ โดยสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลท์สวีตครูดของสหรัฐ งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 43 เซนต์ ปิดที่ 96.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 94 เซนต์ ปิดที่ 114.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นายวีระพลกล่าวถึงเรื่องการเก็บสำรองน้ำมันของภาคเอกชนที่กระทรวงพลังงานมีนโยบายให้เก็บเพิ่มจาก 5% เป็น 6% หรือจาก 36 วัน เป็น 45 วัน ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา เนื่องจากมีมติของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ให้ชะลอการประกาศบังคับใช้ออกไป เนื่องจากมีภาคเอกชนหลายรายมีปัญหาไม่มีถังเก็บน้ำมันเพียงพอ ขณะเดียวกันโรงกลั่นบางจาก ยังปิดซ่อมหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ หน่วยที่ 3 และมีกำหนดเปิดภายในวันที่ 7 ตุลาคมปีนี้ และหลังจากเปิดเดินเครื่องหน่วยกลั่นก็ต้องมีการทดลองเดินเครื่องจึงคาดว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน จึงจะเดินเครื่องผลิตได้เต็มที่ โดยให้ภาคเอกชนแต่ละรายขอผ่อนผันเข้ามา ทั้งนี้ผู้ประกอบการได้ขอเวลาในการก่อสร้างถังเก็บน้ำมันเป็นเวลา 2-3 ปี ก่อนที่จะทำการเพิ่มการสำรองน้ำมันเป็น 6% ดังนั้น ระหว่างนี้จึงเป็นการรวบรวมปัญหาของผู้ประกอบการ ทั้งหมดก่อนที่จะมีการพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่าจะดำเนินการอย่างไร
01:34 | 0 ความคิดเห็น | Read More

ยอดใช้'แอลพีจี เดือนกรกฏาคม พุ่ง ครึ่งปี รัฐใช้เงินอุดหนุน2หมื่นล.

Written By Unknown on วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555 | 23:56

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเดือนกรกฎาคม 2555 ว่าปรับลดลงจากเดือนมิถุนายน 2555 เกือบทุกชนิด ยกเว้น ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) เพิ่มขึ้น 6% ปัจจัยหนึ่งมาจากนโยบายชะลอการปรับเพิ่มราคาภาคขนส่งตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม-15 สิงหาคม 2555 โดยแอลพีจีขนส่งเพิ่มขึ้น 3% ส่วนภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น 2% ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 6% และภาคปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น 10% เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวหลังเกิดปัญหาน้ำท่วม ขณะที่กลุ่มเบนซินลดลง 5% กลุ่มดีเซลลดลง 6% นายวีระพลกล่าวว่า การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงช่วงครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน 2555) พบว่ากลุ่มที่โดดเด่นคือแอลพีจีและเอ็นจีวี เติบโต 10% และ 20% ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มเบนซินเพิ่มขึ้น 1% และดีเซลเพิ่มขึ้น 6% "ครึ่งปีไทยนำเข้าแอลพีจีเฉลี่ย 1.45 แสนตันต่อเดือน รวมมูลค่า 2.85 หมื่นล้านบาท แต่ด้วยนโยบายหนุนราคาแอลพีจีทำให้รัฐต้องจ่ายเงินชดเชยประมาณ 2 หมื่นล้านบาท" นายวีระพลกล่าว และว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับสูงต่อเนื่อง ทำให้ไทยต้องนำเข้าช่วงครึ่งปีสูงถึง 6.46 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.41 แสนล้านบาท จาก 5.05 แสนล้านบาท
23:56 | 0 ความคิดเห็น | Read More

กระทรวงพลังงานเร่งชี้แจงการปรับราคาLPG

ศูนย์ข่าวศรีราชา - กระทรวงพลังงาน เร่งชี้แจงทุกภาคส่วนผ่านสื่อ หวังเป็นกระบอกเสียงถึงการปรับราคาก๊าซ LPG แพงขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจต่อผู้ใช้ก๊าซ ชี้ในอนาคต ราคาทั้งภาคอุตสาหกรรม ขนส่ง และครัวเรือนจะเป็นราคาเดียวกันหมด นายสุชาลี สุมามาลย์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายปิโตรเลียมและปิโตรเคมี สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน พร้อมคณะ ได้เดินทางมาชี้แจงต่อสื่อมวลชนถึงที่มา และเหตุผลการปรับโครงสร้างราคา LPG เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากต้องการให้เป็นไปตามกลไกของตลาด เพื่อเป็นไปตามต้นทุนที่แท้จริง นอกจากนั้น เพื่อให้การใช้พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการนำเข้า สร้างความสามารถในการแข่งขันให้แก่ภาคธุรกิจ และลดการกีดกันทางการค้ากับนานาประเทศ เมื่อเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 นี้ นอกจากนั้น เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม เพราะที่ผ่านมา รัฐเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันประเภทอื่นๆ เข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนำเงินดังกล่าวมาชดเชยราคา LPG ทำให้ผู้ใช้น้ำมันต้องใช้น้ำมันในราคาที่แพงขึ้น เป็นการบิดเบือนตลาด เพราะเมื่อราคา LPG ต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นมาก ทำให้กำลังการผลิตในประเทศไม่เพียงพอ จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบขาย LPG ให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากราคาในประเทศไทยถูกกว่า ลาว พม่า และเขมรมาก ดังนั้น เงินกองทุนน้ำมันฯ จึงต้องนำมาชดเชยในส่วนนี้ ประมาณปีละ 2,000 ล้านบาท สร้างความเสียหายต่อรัฐ นายสุชาลี กล่าวต่อไปว่า การปรับราคา LPG นั้น มีการปรับโครงสร้างราคาในส่วนของภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่กลางปี 2554 ที่ผ่านมา ส่วนภาคครัวเรือนนั้นรัฐตรึงราคาอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม จนถึงสิ้นปี 2555 นี้ สำหรับภาคอุตสาหกรรม มีการปรับอย่างต่อเนื่องไตรมาสละ 3 บาทต่อ/กก. และสุดท้ายจะให้คงราคาอยู่ที่ 30.13 บาทต่อ กก. แต่ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 29.56 บาทต่อ กก. ส่วนภาคขนส่งนั้น ปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ 21.38 บาทต่อ กก. “ในอนาคต 1 ปีหรือ 2 ปี ขึ้นอยู่กับราคาที่จะทยอยปรับขึ้นมากน้อยเพียงใด ซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก แต่อย่างไรก็ตาม ราคาทั้งภาคอุตสาหกรรม ขนส่ง และครัวเรือนจะเป็นราคาเดียวกันหมด และหลังจากนั้นราคา LPG ทั้ง 3 ภาคส่วนจะถูกปรับขึ้นลงตามราคาตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงในทุกๆ เดือน” นายสุชาลีกล่าว นายสุชาลี กล่าวว่า สำหรับการปรับโครงสร้างราคา LPG นั้น จะต้องหาแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ที่จะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะภาคครัวเรือนกลุ่มประชาชน ต้องมีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อฐานะการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย ส่วนวิธีบริหารจัดการจะต้องมีวิธีการควบคุมให้มีการรั่วไหลน้อยที่สุด ซึ่งอาจเป็นการขอความร่วมมือหน่วยงานต่างๆ ซึ่งอาจจะใช้วิธีคล้ายกับการแจกเบี้ยผู้สูงอายุ หรือเงินช่วยเหลือน้ำท่วม แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องศึกษาอย่างรอบคอบก่อ
03:14 | 0 ความคิดเห็น | Read More

ไทยแบกภาระอุดหนุน LPG 1 แสนล้านบาท แล้ว

กรมธุรกิจพลังงาน ชี้ ไทยแบกภาระชดเชยนำเข้า LPG ตั้งแต่ปี 51 ถึง ก.ค.ปี 55 รวม 1 แสนล้านบ. เสียโอกาส สร้างรถไฟฟ้าไป 1 สาย
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้เปลี่ยนสถานะผู้ส่งออกก๊าซ LPG มาเป็นประเทศผู้นำเข้า ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 51 ถึง เดือนกรกฎาคม ปี 55 โดยมีปริมาณการนำเข้ารวม 5.2 ล้านตัน หรือคิดเป็นมูลค่าการนำเข้า 83,000 ล้านบาท และเป็นการชดเชยราคาหน้าโรงกลั่นในประเทศ ที่เริ่มชดเชยตั้งแต่ปี 2554 อีก 17,000 ล้านบาท รวมเป็นการชดเชยถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งเงินในส่วนนี้ สามารถนำไปใช้ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ - หัวลำโพง ได้ 1 สาย ทั้งนี้คาดว่า การชดเชยนำเข้าก๊าซ LPG ปีนี้ จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยปี 2554 มีมูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 25,800 ล้านบาท
00:30 | 0 ความคิดเห็น | Read More

พลังงานให้สัปมทาน 2 แหล่งปิโตรเลียมโคราช-อ่าวไทย คาดสร้างรายได้ 1.32 หมื่นลบ.

Written By Unknown on วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555 | 03:27

นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการปิโตรเลียม ได้อนุมัติพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมเพิ่มเติม จำนวน 2 พื้นที่ ประกอบด้วย - แหล่งดงมูล ของบริษัท อพิโก้ (โคราช) จำกัด และ แหล่งปะการังตะวันตก ของบริษัท เชฟรอนประเทศสำรวจและผลิต จำกัด เนื่องจากผลการสำรวจของบริษัทผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมพบว่าพื้นที่ดังกล่าว มีศักยภาพทางด้านธรณีวิทยาที่จะพัฒนาเป็นแหล่งปิโตรเลียมเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ สำหรับแหล่งดงมูล ของบริษัท อพิโก้ (โคราช) จำกัด อยู่ในแปลงสำรวจ L27/43 สัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 9/2546/43 โดยคณะกรรมการปิโตรเลียมมีมติเห็นชอบให้ได้รับอนุมัติเป็นพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมรวม 31.91 ตารางกิโลเมตร และคาดว่ามีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติประมาณ 96 พันล้านลูกบาศก์ฟุต ซึ่งจะเริ่มผลิตในปี 2558 ซึ่งหากดำเนินการพัฒนาสำเร็จและผลิตได้จะผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 14 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน โดยบริษัทจะมีการลงทุนมูลค่าประมาณ 6,774 ล้านบาท และผลประโยชน์ที่รัฐจะได้รับจากโครงการนี้ประมาณ 3,095 ล้านบาท (คิดเป็นประมาณร้อยละ 60) ส่วนบริษัทจะได้รับผลตอบแทนหลังหักเงินลงทุน ประมาณ 2,066 ล้านบาท (คิดเป็นประมาณร้อยละ 40) แหล่งปะการังตะวันตก ของบริษัท เชฟรอนประเทศสำรวจและผลิต จำกัด ซึ่งอยู่ในแปลงในทะเล แปลง B11 สัมปทานเลขที่ 1/2515/5 โดยคณะกรรมการปิโตรเลียมมีมติเห็นชอบให้ได้รับอนุมัติเป็นพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมรวม 118.1 ตารางกิโลเมตร และคาดว่ามีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติประมาณ 1 แสนล้านลูกบาศก์ฟุต และน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลวประมาณ 8.97 ล้านบาร์เรล ซึ่งจะเริ่มผลิตในปี 2558 และหากดำเนินการพัฒนาสำเร็จและผลิตได้ คาดว่าจะผลิตน้ำมันดิบเฉลี่ยสูงสุดประมาณ 4,300 บาร์เรลต่อวัน และก๊าซธรรมชาติประมาณ 59 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน โดยบริษัทจะมีการลงทุนมูลค่าประมาณ 19,000 ล้านบาท และผลประโยชน์ที่รัฐจะได้รับจากโครงการนี้ประมาณ 10,200 ล้านบาท (คิดเป็นประมาณร้อยละ 57) ส่วนบริษัทจะได้รับผลตอบแทนหลังหักเงินลงทุนประมาณ 7,584 ล้านบาท (คิดเป็นประมาณร้อยละ 43) นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้สรุปสถานการณ์ด้านการจัดหาและพัฒนาปิโตรเลียมในช่วงเดือนกรกฎาคม 2555 ว่า ประเทศไทยมีอัตราการผลิตปิโตรเลียมเทียบเท่าน้ำมันดิบทั้งสิ้น 849,144 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 43 ของความต้องการใช้ในประเทศ โดยแบ่งเป็นก๊าซธรรมชาติ 3,531 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ก๊าซธรรมชาติเหลว 96,904 บาร์เรลต่อวัน น้ำมันดิบ 145,194 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2555 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน สามารถจัดเก็บค่าภาคหลวง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 42,300 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าในช่วงเดียวกันของปี 2554 ร้อยละ 18 ส่วนผลการดำเนินงานในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ซึ่งเป็นบริเวณที่ไทยและมาเลเซียอ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปทับซ้อนกันในบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2555 มีการผลิตก๊าซธรรมชาติในอัตรา 1,259 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (นำมาใช้ประโยชน์ในประเทศไทยวันละประมาณ 736 ล้านลูกบาศก์ฟุต) และก๊าซธรรมชาติเหลว 15,825 บาร์เรลต่อวัน โดยในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2555 ซึ่งสามารถนำส่งรายได้จากการดำเนินงานในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย สู่ประเทศ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 8,777 ล้านบาท ซึ่งสูงขึ้นคิดเป็นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
03:27 | 0 ความคิดเห็น | Read More

“รสนา” เสนอ “กระทรวงพลังงานหมุนเวียน” (กรณีผลประโยชน์ทับซ้อนธุรกิจปิโตรเลียม)

Written By Unknown on วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555 | 23:46

วันนี้(15สิงหาคม2555) นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดโครงการบัตรเครดิตพลังงานยกกำลัง2ซึ่งกระทรวงพลังงานจัดขึ้นเพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิตพลังงาน NGV กลุ่มรถแท็กซี่ รถสามล้อ และรถตู้ร่วม ขสมก. พร้อมเปิดตัวบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างสาธารณะ เริ่มใช้วันแรก 15 ตุลาคมศกนี้ ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตามที่ กระทรวงพลังงานมีนโยบายในการให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ให้แก่กลุ่มผู้ขับขี่รถรับจ้างสาธารณะซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย ด้วยการจัดทำโครงการ “บัตรเครดิตพลังงาน” ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554 โดยเริ่มต้นจาก “บัตรเครดิตพลังงาน NGV” สำหรับผู้ขับขี่รถสาธารณะกลุ่มรถแท็กซี่ รถสามล้อ และรถตู้ร่วม ขสมก. ที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิง ด้วยการให้วงเงินเครดิต 3,000 บาท/เดือน/บัตร เพื่อใช้ชำระค่าก๊าซ NGV แทนเงินสด ซึ่งจนถึงปัจจุบัน มีผู้ถือบัตรเครดิตพลังงาน NGV แล้วไม่ต่ำกว่า 23,000 ราย มียอดใช้เงินผ่านบัตรเครดิตพลังงาน NGV สะสมแล้วกว่า 38 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือบัตรเครดิตพลังงาน กระทรวงพลังงาน จึงได้จัดทำ “โครงการบัตรเครดิตพลังงาน ยกกำลัง 2” ขึ้น เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิตพลังงาน NGV อาทิ การรับส่วนลดราคาก๊าซ NGV 2.00 บาท/กิโลกรัม การเพิ่มช่องทางชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์ เซอร์วิส ในร้านค้าเซเว่น อีเลฟเว่นและธนาคารกรุงไทย การขยายเวลาชำระเงินค่าบัตรเป็น 45 วัน และการขยายวงเงินเครดิตแก่ผู้ที่ไม่มีหนี้ค้างชำระ เป็นต้น รวมทั้ง ยังได้เปิดตัวบัตรเครดิตพลังงาน สำหรับกลุ่มผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างสาธารณะในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อมอบวงเงินเครดิต 3,000 บาท/เดือนและสิทธิประโยชน์มากมายเช่นกัน ซึ่งผู้ถือบัตรฯ ทั้งสองประเภท สามารถรับสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นได้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป นอกจากนี้ กระทรวงพลังงาน ได้พัฒนาระบบการใช้บัตรเครดิตพลังงาน NGV ให้เกิดความสะดวกยิ่งขึ้น จากเดิมที่ต้องใช้ บัตรเติมก๊าซ (เพื่อรับส่วนลดราคา) และบัตรเครดิตพลังงาน NGV (เพื่อรับวงเงินเครดิต) ควบคู่กัน โดยจะเปลี่ยนเป็นการใช้ “บัตรเครดิตพลังงาน NGV เพียงใบเดียว” ก็สามารถรับทั้งวงเงินเครดิตและสิทธิส่วนลดราคาก๊าซ NGV พร้อมยกเลิกการใช้บัตรเติมก๊าซ เพื่อรับสิทธิส่วนลดสำหรับกลุ่มผู้ ขับขี่รถแท็กซี่ รถสามล้อ และรถตู้ร่วม ขสมก. NGV ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมเป็นต้นไป กระทรวงพลังงาน จึงขอเชิญชวนผู้สนใจ สมัครเข้าร่วมโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ยกกำลัง 2 ได้ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคมเป็นต้นไป โดยผู้ขับขี่รถแท็กซี่ รถสามล้อ และรถตู้ร่วม ขสมก. NGV สมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ เจเจมอลล์ จตุจักร ส่วนผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างสาธารณะ สมัครได้ที่ สถานีบริการน้ำมัน 6 แห่งที่ร่วมโครงการ ได้แก่ สาขาลาดพร้าว 71, สาขาเจริญกรุง 87, สาขารามคำแหง, สาขาบางบอน, สาขาตลิ่งชัน และสาขาถนนกำแพงเพชร 2 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 1365 สิทธิประโยชน์ที่มากกว่าจากโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ยกกำลัง 2 - กลุ่มรถแท็กซี่ รถสามล้อและรถตู้ร่วม ขสมก. ที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิง 1. รับส่วนลดราคาก๊าซ NGV 2 บาท/กิโลกรัมทันที เมื่อใช้บัตรเครดิตพลังงานฯ เท่านั้น (ยอดซื้อก๊าซฯ ไม่เกิน 9,000 บาท/เดือน/บัตร) 2. เพิ่มช่องทางชำระเงินฯได้ที่เคาน์เตอร์ เซอร์วิส ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และร้านค้าที่มีสัญลักษณ์เคาน์เตอร์เซอร์วิส และธนาคารกรุงไทย 3. สามารถชำระเงินขั้นต่ำ 10% ของยอดการใช้เงินผ่านบัตรเครดิตฯ แต่ไม่น้อยกว่า 100 บาท 4. วงเงินเครดิตจะกลับคืนเท่ากับจำนวนเงินที่ชำระ แต่ไม่เกิน 3,000 บาท/เดือน 5. ให้เวลาการชำระเงินค่าบัตรฯนานขึ้น 15 วัน จากเดิม 30 วันเป็น 45 วัน (เติมก๊าซเดือนนี้ จ่ายเงินภายในวันที่ 15 ของเดือนหน้า) 6. ซื้อผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น PTT Performa NGV รับลดราคา 15% จากราคาขายปกติ เมื่อแสดงบัตรเครดิตพลังงานฯ ที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท. ที่ร่วมโครงการ 7. รับเงินคืน (Cash Back) 200 บาทลงในบัตรเครดิตฯ เมื่อไม่มีหนี้ค้างชำระต่อเนื่อง 6 เดือน* 8. เพิ่มวงเงินการใช้บัตรเครดิตฯ จาก 3,000 บาท/เดือน เป็น 5,000 บาท/เดือน เมื่อไม่มีหนี้ค้างชำระต่อเนื่อง 6 เดือน* 9. ฟรี ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตฯ มูลค่า 150 บาท/ปี ในปีถัดไป เมื่อไม่มีหนี้ค้างชำระต่อเนื่อง 9 เดือน* 10. เพิ่มส่วนลดราคาก๊าซ NGV อีก 10 สตางค์/กิโลกรัม เป็นเวลา 12 เดือน (กรณีราคาขายปลีกก๊าซ NGV สะท้อนต้นทุน) เมื่อไม่มีหนี้ค้างชำระต่อเนื่อง 9 เดือน* * หมายเหตุ : เมื่อใช้บัตรเครดิตฯ ชำระค่าก๊าซ NGV ตั้งแต่ 1,500 บาท/เดือนขึ้นไป - กลุ่มผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างสาธารณะ 1. วงเงินบัตรเครดิต (เติมก่อน-จ่ายที่หลัง) จำนวน 3,000 บาท/บัตร/เดือน 2. ชำระเงินได้ที่เคาน์เตอร์ เซอร์วิส ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และร้านค้าที่มีสัญลักษณ์เคาน์เตอร์เซอร์วิสทั่วประเทศ และธนาคารกรุงไทย 3. แบ่งชำระเงินขั้นต่ำ 10% ของยอดค่าใช้จ่ายคงค้าง (แต่ไม่น้อยกว่า 100 บาท) 4. วงเงินเครดิตจะกลับคืนเท่ากับจำนวนเงินที่ชำระหนี้ แต่ไม่เกิน 3,000 บาท/เดือน (จ่ายหนี้เท่าไร มีสิทธิใช้บัตรเท่านั้น) 5. รอบการชำระเงินค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตนาน 45 วัน 6. ซื้อผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น ปตท. สำหรับรถจักรยานยนต์ในราคาลดพิเศษ 15% จากราคาขายปกติ ที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท. ที่ร่วมโครงการ 7. รับส่วนลดคืนลงในบัตรทุกสิ้นเดือน (ตามยอดการใช้) 8. ยกเว้นค่าธรรมเนียมบัตรรายปี มูลค่า 150 บาท/ปี เมื่อไม่มียอดค้างชำระต่อเนื่อง 12 เดือน หมายเหตุ : ค่าธรรมเนียมค้างชำระเงินในอัตรา 15% ต่อปี
23:46 | 0 ความคิดเห็น | Read More

โพล ชี้ ขึ้น LPG ขนส่ง กระทบต้นทุน 1.84%

ธุรกิจบัณฑิตย์โพล เผย นักธุรกิจคาด ปรับขึ้น LPG ภาคขนส่ง 25 สต./ก.ก. กระทบต้นทุน 1.84% นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของนักธุรกิจเกี่ยวกับทัศนคติ และผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง จำนวน 25 สตางค์/กิโลกรัม โดยที่มีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักธุรกิจในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 510 ราย ระหว่างวันที่ 14 - 15 ส.ค. นี้ พบว่าร้อยละ 19.2 เห็นด้วยกับการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง และร้อยละ 80.8 ไม่เห็นด้วย โดยร้อยละ 52.2 มองว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนการทำธุรกิจโดยรวม ร้อยละ 33.9 ไม่สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าตามต้นทุนได้ และร้อยละ 10.6 ปรับขึ้นราคาเร็วเกินไป จนทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน นอกจากนี้ ในส่วนของผลกระทบที่มีต่อต้นทุนในการทำธุรกิจ พบว่า ภาคขนส่ง จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.84 และสำหรับกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในภาคขนส่ง ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.17
01:01 | 0 ความคิดเห็น | Read More

บัตรเครดิตพลังงานกำลังสอง

Written By Unknown on วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555 | 00:15

นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ กระทรวงพลังงานเตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตพลังงานกำลังสอง เพื่อขยายสิทธิประโยชน์ให้กลุ่มผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะให้ครอบคลุมมากขึ้น จากเดิมมีเพียงกลุ่มผู้ขับขี่รถแท็กซี่ที่มีใบขับขี่สาธารณะเท่านั้น ดังนั้น จึงเพิ่มในกลุ่มรถจักรยานยนต์รับจ้าง รถสามล้อ และรถสองแถว โดยคาดว่าจะมีผู้ได้ประโยชน์จากการใช้บัตรเครดิตพลังงาน เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ราย จากปัจจุบันอยู่ที่ 50,000 ราย ทั้งนี้ เงื่อนไขของบัตรเครดิตพลังงานกำลังสอง จะเป็นไปตามเงื่อนไขเดิม ทั้งวงเงินการใช้บัตร 3,000 บาทต่อเดือน และธนาคารกรุงไทยยังเป็นสถาบันการเงินที่บริหารจัดการเครดิต ผู้ขับขี่สามารถใช้บัตรนี้ได้ที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท. ทั้งการเติมน้ำมัน แก๊สเอ็นจีวี และแอลพีจี นอกจากนี้ ในอนาคตกระทรวงพลังงานจะขยายสิทธิประโยชน์การใช้บัตรเครดิตพลังงาน เพื่อซื้อสินค้าอื่นในสถานีบริการน้ำมันได้ด้วย รวมทั้งจะขยายการใช้บัตรไปยังสถานีบริการน้ำมันอื่นเพิ่มขึ้น เช่น บางจาก และเชลล์ เป็นต้น
00:15 | 0 ความคิดเห็น | Read More

หอการค้าสนับสนุน ปรับ LPG และดีเซล ปลายปี

Written By Unknown on วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555 | 21:51

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ตนสนับสนุนการปรับโครงสร้างราคาพลังงานของรัฐบาลให้เป็นไปตามกลไกลตลาด เพราะช่วยให้ประชาชนประหยัดพลังงานมากขึ้น และรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ด้วย โดยรัฐบาลควรทยอยปรับราคาพลังงาน โดยเฉพาะก๊าซหุงต้ม หรือ LPG สำหรับภาคขนส่งและภาคครัวเรือน ประมาณ 1-2 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว ประชาชนและภาคธุรกิจรับภาระได้ เช่นเดียวกับภาษีสรรพสามิตดีเซล ที่ควรทยอยปรับขึ้นครั้งละ 50 สตางค์ เพราะขณะนี้อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ หากปรับขึ้นในปีหน้าที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว และราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น อาจมีผลต่อความรู้สึกของประชาชนได้ โดยระหว่างการปรับขึ้นรัฐบาลจะต้องมีมาตรการในการดูแลราคาสินค้าและต้นทุนให้กับภาคธุรกิจด้วย
21:51 | 0 ความคิดเห็น | Read More

ปรับราคา LPG ภาคครัวเรือน น่าจะเป็นสิ้นปี 55

นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ราคาแก๊ส LPG และ NGV จะดำเนินการได้ในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ หรือไม่ ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. ยังไม่ได้กำหนดวันประชุม ขณะเดียวกัน การศึกษาโครงสร้างราคายังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งขอเวลาศึกษาอีก 2 สัปดาห์ แต่ในส่วนของก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ยืนยันว่าจะยังคงตรึงราคาไปถึงสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ยืนยันว่า กระทรวงพลังงาน จะดูแลราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อราคาสินค้า และอัตราเงินเฟ้อของประเทศ โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังมีศักยภาพที่จะดูแลได้และปัจจุบันกองทุนติดลบที่ 15,000 ล้านบาท
21:50 | 0 ความคิดเห็น | Read More

นักวิชาการจี้รัฐเลิกตรึงราคาพลังงาน

Written By Unknown on วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 | 01:50

นายพรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ด้านพลังงานและอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมพิจารณาต่ออายุมาตรการช่วยเหลือประชาชนว่า รัฐบาลควรยกเลิกการใช้นโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะการตรึงราคาน้ำประปา ไฟฟ้า และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ซึ่งทำให้รัฐบาลเสียงบประมาณหลายหมื่นล้านบาทในการดูแลประชาชน และควรนำงบประมาณในส่วนนี้ไปใช้ในการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนพัฒนาระบบการศึกษาและสาธารณูปโภคพื้นฐาน เนื่องจากขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นแล้ว เห็นได้จากตัวเลขการว่างงานที่ลดลง ประชาชนมีรายได้มากขึ้น สำหรับการแยกราคาปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) เป็นสองราคา โดยการปล่อยลอยตัวราคาในภาคอุตสาหกรรม และตรึงราคาในภาคขนส่งและครัวเรือน รัฐบาลควรตรึงราคาแอลพีจีเฉพาะภาคครัวเรือนเท่านั้น ซึ่งแนวทางที่ถูกต้อง คือ ใช้วิธีการแจกคูปองให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อย โดยอิงจากฐานผู้ใช้ไฟฟ้าที่ต่ำกว่า 90 หน่วยต่อเดือน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10 ล้านครัวเรือน ซึ่งจะช่วยลดภาระให้กับรัฐบาล หลังจากการทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องถึง 6 ปี ที่มา : มติชนออนไลน์
01:50 | 1 ความคิดเห็น | Read More

ปั้ม LPG ผุดเป็นดอกเห็ด พฤษภาคม 1063 แห่ง

ปัจจุบันมีประชาชนผู้ใช้รถยนต์หันมาใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มมากขึ้นประมาณ 832,882 คัน มากที่สุดยังเป็นรถเก๋งจำนวน 765,561 คัน รองลงมาเป็นรถแท็กซี่ จำนวน 39,992 คัน ตามติดด้วยรถสามล้อ รถโดยสาร รถบรรทุก และประเภทอื่นๆ ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศประมาณ 110,000 ตันต่อเดือน ทำให้ต้องนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนส่วนต่างราคานำเข้าช่วงเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ประมาณ 1,130 ล้านบาทต่อเดือน สาเหตุที่ต้องนำเข้าก๊าซ LPG ก็เพราะการผลิตก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันประมาณ 146,000 ตันต่อเดือน และจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติประมาณ 309,000 ตันต่อเดือนยังไม่เพียงพอกับความต้องการนั่นเอง จากประมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ LPG มากขึ้นได้กลายเป็นปัจจัยทำให้มีการเปิดให้บริการปั๊มก๊าซ LPG ช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2555 เติบโตอยู่ที่ประมาณ 1,063 แห่ง โดยเดือนพฤษภาคมเดือนเดียวออกใบอนุญาตก่อสร้างรวดเดียว 10 แห่ง และมีการยื่นขออนุญาตอยู่ระหว่างการพิจารณาอีกกว่า 10 แห่ง ทั้งนี้ แม้รัฐบาลจะมีนโยบายปรับราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งขึ้นไป 9 บาทต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 4.92 บาทต่อลิตรเมื่อถึงสิ้นปี 2555 โดยได้ทยอยปรับขึ้นเดือนละ 75 สตางค์ต่อกิโลกรัม หรือ 41 สตางค์ต่อลิตรมาตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 แต่ครม.ได้ชะลอการขึ้นราคา 3 เดือนตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อลดค่าครองชีพประชาชน ซึ่งจะต้องไปลุ้นอีกครั้งวันที่ 16 สิงหาคม นี้จะมีการกลับไปเก็บตามเดิมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ก็ยังเติบโตสูง เพราะมีราคาถูกกว่าราคาน้ำมัน ส่วนการส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติ NGV กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร โดยโครงการติดตั้งถังและอุปกรณ์ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ฟรีสำหรับรถแท็กซี่ของกระทรวงพลังงานเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2555 มีผู้ประกอบการแท็กซี่ขอรับการติดตั้งไม่ถึงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 15,000 คัน โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการเพียง 4,800 คัน จากความต้องการก๊าซ LPG จากตลาดจำนวนมากนี้เอง ทำให้ผู้ค้าน้ำมัน “เอสโซ่” สนใจเตรียมเข้าไปมีส่วนแบ่งตลาดกลุ่มก๊าซหุงต้ม โดยนายยอดพงศ์ สุตธรรม กรรมการและผู้จัดการการตลาด ขายปลีก การตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้เอสโซ่กำลังศึกษาที่จะเข้ามาลงทุนปั๊ม LPG เพื่อรถยนต์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปี 2555 ส่วนปั๊มน้ำมันจะมีการนำเทสโก้ โลตัสเอ็กซ์เพรส เข้าไปตั้งในปั๊มสถานีบริการน้ำมันของผู้ร่วมลงทุนด้วย เช่นเดียวกับทาง SGP หรือ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลล์ จำกัด (มหาชน) นางจินตนา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า SGP กำลังดำเนินการขยายปั๊มก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและยานยนต์ที่จะหันมาใช้ก๊าซ LPG มากขึ้น เพราะว่าต้นทุนก๊าซ LPG ยังมีราคาถูกกว่าพลังงานชนิดอื่น มั่นใจว่า ยอดขายในประเทศปีนี้จะเพิ่มขึ้นมีปริมาณ กว่า 1.3 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 8-9% “ภาครัฐมีนโยบายลอยตัวราคาก๊าซในประเทศที่มีผลต่อราคาปรับตัวสูงขึ้นบ้างในอนาคต แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ LPG ในกลุ่มยานยนต์และกลุ่มอุตสาหกรรมและครัวเรือน เนื่องจากต้นทุนยังมีราคา ถูกและคุ้มค่ากว่าพลังงานชนิดอื่นและมีความสะดวกในการใช้งานมากกว่า ส่งผลให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม และภาคยานยนต์หันมาใช้แอลพีจีเพิ่มขึ้น” ก่อนหน้านี้นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนธุรกิจน้ำมันยังเป็นธุรกิจหลัก ตอนนี้มีปั๊มอยู่จำนวน 145 แห่ง ในปี 2555 ไม่ได้เร่งลงทุนมากคาดว่าจะเพิ่มเพียง 5-10 แห่ง และปั๊มก๊าซธรรมชาติ NGV อีกจำนวน 9 สถานี สนใจลงทุนเพิ่มไปแล้ว 6-7 แห่ง รวมถึงปั๊มก๊าซ LPG จำนวน 7 แห่ง ซึ่งได้ขยายการลงทุนไปเปิดเพิ่มที่นาพุ จังหวัดนครศรีธรรมราช ต้องจับตาตลาดการแข่งขันก๊าซ LPG ในช่วงครึ่งปีหลังจะร้อนแรงหรือแผ่วปลาย เนื่องจากข้อจำกัดพื้นที่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลหาได้ค่อนข้างยาก กรมผังเมืองยังเข้มงวดกับการให้อนุญาตปั๊มก๊าซ LPG ในเขตชุมชน และต้องห่างไกลพื้นที่สาธารณะ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียนไม่น้อยกว่า 200 เมตร โดยเฉพาะประเด็นแหลมๆ ที่รัฐบาลจะสตาร์ตขยับราคาก๊าซ LPG รอบสองในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ เพื่อลดการอุดหนุนสร้างความเท่าเทียมรองรับ การเปิดเสรี AEC
01:45 | 0 ความคิดเห็น | Read More

กบง.ปรับลดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ส่งผลราคาขายปลีกดีเซล-แก๊สโซฮอล์คงเดิม

Written By Unknown on วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 | 21:49

คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) มีมติให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิงของนํ้ามันดีเซล ลง 0.40 บาท/ลิตร เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกไม่ให้กระทบภาคขนส่ง ค่าโดยสาร และภาวะเงินเฟ้อ ส่วนนํ้ามันแก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนนํ้ามันฯ ลง 0.30 บาท/ลิตร เพื่อเป็นการสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน
เสื่อมสมรรถภาพ
21:49 | 2 ความคิดเห็น | Read More

ธพ.ยันขยายท่อส่งนํ้ามันไปเหนือ-อีสานช่วยประหยัดค่าขนส่ง

ธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยถึงโครงการขยายระบบท่อส่งนํ้ามันไปพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เม็ดเงินลงทุนกว่า 15,000 ล้านบาท โดยแนวท่อดังกล่าวไปภาคเหนือจะขยายจากคลังนํ้ามันสระบุรี ไปพิษณุโลกและลำปาง ระยะทาง 338 กิโลเมตร ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มจากคลังนํ้ามัน จ.สระบุรี ไปนครราชสีมาและขอนแก่น ระยะทาง 345 กิโลเมตร โดย 4 จังหวัดจะต้องสร้างคลังนํ้ามันใหม่ ส่งนํ้ามันจะช่วยประหยัดพลังงานจากการขนส่งทางรถได้ 42,000 ล้านบาท ในอีก 25 ปี
นักสืบ
21:44 | 8 ความคิดเห็น | Read More
“คำนูณ” แนะทำประชามติเปิดสัมปทานปิโตรเลียม หลังเลื่อนเปิดประมูลไม่มีกำหนด

นายคำนูณ กล่าวว่า เป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่ นายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ที่ชะลอการเปิดสัมปทานปิโตรเลี่ยมรอบที่ 21 ไว้ก่อน แต่จากนี้ไปรัฐจะต้องเปิดพื้นที่สื่อให้แก่ภาคประชาชนที่เห็นต่างกับรัฐได้ สื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนด้วย จนเสนอให้นายกรัฐมนตรีใช้กลไกออกเสียงประชามติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 มาตัดสินในท้ายที่สุดเลยดีกว่า ว่า จะใช้ระบบแบ่งผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับผู้รับสัมปทานตาม พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 หรือที่เรียกว่าระบบ “THAILAND 3” ที่ใช้บังคับมาตั้งแต่ปี 2532 หรือจะยกเครื่องปฏิรูปใหม่

21:38 | 1 ความคิดเห็น | Read More
 
berita unik