พลังงานเกียร์ว่างรอโชว์ผลงาน1ปี ดวงพักตรา ไชยพงษ์

Written By Unknown on วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 | 21:44

ระยะนี้เข้าสู่ช่วงแถลงผลงานรัฐบาล 1 ปี จะเห็นได้ว่ากระทรวงต่างๆ บริหารงานกันอย่างระมัดระวังชื่อเสียงกันมากที่สุด จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงปล่อยเกียร์ว่างไปซะแล้ว โดยเฉพาะกระทรวงพลังงานที่เน้นแนวทางตรึงราคาไว้แทบทุกอย่าง และอดทนจนกว่าจะผ่านพ้นช่วงโชว์ผลงานไปแล้วนั่นแหละ จึงจะกลับมาจัดการแก้ปัญหาราคาพลังงานให้แล้วเสร็จ
    ที่เห็นกันชัดๆ คือการตรึงราคาดีเซลไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร แม้ราคาน้ำมันตลาดโลกจะปรับขึ้น แต่กระทรวงพลังงานก็ยังไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันขึ้นราคา แถมไม่เอาเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาช่วยพยุงค่าการตลาดให้ผู้ค้าน้ำมันอีกต่างหาก ทั้งนี้ นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยืนยันจะใช้มาตรการขอความร่วมมือให้ผู้ค้าน้ำมันช่วยรับภาระไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกองทุนน้ำมันฯ แบกภาระอยู่
    งานนี้ผู้ค้าน้ำมันถึงกับกลืนไม่เข้าคายก็ไม่ออก โดยค่ายน้ำมันบางจากฯ ออกมาระบุแล้วว่าขาดทุนไปแล้ว 100 ล้านบาท ขณะที่ค่าย ปตท.ขาดทุนไปแล้วกว่า 300 ล้านบาท ส่วนค่ายเล็กค่ายน้อยรับภาระขาดทุนไม่ไหวก็ขอปรับขึ้นราคาเอาตัวรอดไปก่อน
    ทั้งนี้ สาเหตุลึกๆ ส่วนหนึ่งมาจากไม่ต้องการให้กระทบความรู้สึกของประชาชน เพราะการปรับขึ้นราคาดีเซลเกิน 30 บาทต่อลิตร จะทำให้รู้สึกว่าค่าขนส่ง ค่าโดยสารแพงขึ้น และกระทบไปสู่ราคาค่าอาหารและเงินเฟ้อของประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้คะแนนเสียงของรัฐบาลเกิดสั่นสะเทือนขึ้นทันที ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ช่วงการประกาศผลงานรัฐบาลทุกอย่างจะต้องดูสวยหรู ซึ่งราคาดีเซลจึงปรับขึ้นช่วงนี้ไม่ได้ แม้กองทุนน้ำมันฯ ซึ่งเป็นเครื่องมือการพยุงราคาดีเซลจะติดลบไปแล้วกว่า  15,000 ล้านบาท ก็จำต้องหันมาบีบผู้ค้าน้ำมันให้ลงมาคลุกฝุ่นช่วยกันด้วย
    ตรึงที่ 2 คือ การปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ที่ปัจจุบันตรึงราคากันอยู่ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่เดือน พ.ค.2555 จนถึงปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ แม้จะมอบหมายให้ทางสถาบันจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการศึกษาโครงสร้างราคาเสร็จแล้ว แถมพูดคุยกับกลุ่มแท็กซี่ รถบรรทุก และรถโดยสารสาธารณะมาโดยตลอด ซึ่งทำท่าจะได้ข้อสรุปในไม่ช้า แต่แล้วก็ต้องยืดระยะเวลาการสรุปราคาเอ็นจีวีออกไปเป็นต้นปี 2556 แทน
    เนื่องด้วยองค์ประกอบการสรุปโครงสร้างราคาเอ็นจีวีไม่ครบ 3 ส่วน นั่นคือ 1.ราคาเนื้อก๊าซธรรมชาติ ซึ่งขณะนี้ได้จัดทำเสร็จไปแล้ว และ 2.ราคาก๊าซธรรมชาติบริเวณแนวท่อส่งก๊าซฯ ซึ่งก็เสร็จแล้วเช่นกัน จะเหลือก็แต่องค์ประกอบที่ 3 คือ ราคาค่าใช้บริการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ หรือที่เรียกว่าค่าผ่านท่อ ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์เป็นผู้รับผิดชอบจัดทำอยู่ ซึ่งล่าสุดเรกูเลเตอร์ได้ส่งหนังสือแจ้งกระทรวงพลังงานว่าจะจัดทำเสร็จสิ้นปี 2555 นั่นหมายความว่าการพิจารณาโครงสร้างราคาเอ็นจีวีจะต้องเลื่อนออกไปเป็นต้นปี 2556 แทน
    ทั้งนี้ มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการถ่วงเวลามากกว่า เพราะหากครบองค์ประกอบ 3 ประการเมื่อไหร่ ก็หมดสิทธิ์อ้างการตรึงราคาเอาไว้ได้ สาเหตุที่ยังปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีช่วงนี้ไม่ได้ แน่นอนนั่นเป็นเพราะการปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีเสี่ยงต่อการชุมนุมประท้วงของผู้ประกอบการที่ใช้เอ็นจีวี ซึ่งกระทรวงพลังงานย่อมกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนสมัยที่ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ เป็น รมต.พลังงาน ซึ่งถูกประท้วงปิดถนนต่อต้านนโยบายการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และเอ็นจีวีกันอย่างอลม่าน จนท้ายที่สุดต้องถูกปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่รัฐบาลจะยอมให้เกิดขึ้นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานตอนนี้ไม่ได้เช่นกัน
    และตรึงล่าสุดคงหนีไม่พ้นการตรึงค่าเอฟที หรือค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ ประจำงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.2555 ไว้ที่ 48 สตางค์ต่อหน่วย จากอัตราจริงที่ต้องขึ้นถึงระดับ 68.24 สตางค์ต่อหน่วย การตรึงค่าเอฟทีรอบนี้ส่งผลให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องแบกรับภาระค่าเอฟทีแทนประชาชนอีก 10,504 ล้านบาท และ กฟผ.จำเป็นต้องแบกโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจที่ต้องทำตามนโยบายรัฐบาล
    ทั้งนี้ ก็คาดหวังไม่ได้ว่าหนี้ค่าเอฟทีจะหมดจริงหรือเปล่า เนื่องจากแนวโน้มในงวดต่อปีคือต้นปี 2556 เรกูเลเตอร์ก็แย้มๆ ว่า อัตราค่าเอฟทีมีสิทธิ์ปรับขึ้นได้อีก เพราะราคาค่าเชื้อเพลิงยังสูงอยู่ ดังนั้นหนี้เก่าก็ใช้ไป ส่วนหนี้ใหม่ก็กลับมาอีก
    อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีทั้งกระทรวงพลังงานว่า แนวโน้มราคาพลังงานในอนาคตมีแต่จะเพิ่มขึ้น เพราะทั้งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเริ่มหมดลง ที่เหลืออยู่ก็ต้องใช้ต้นทุนทางเทคโนโลยีสูงในการผลิต ดังนั้นไม่ว่าภาครัฐจะซื้อเวลาตรึงราคาพลังงานทุกอย่างไปได้นานสักเท่าไหร่ ท้ายที่สุดก็ต้องส่งผ่านมายังประชาชนอยู่ดี
    และคงต้องติดตามว่าหากผ่านพ้นช่วงการประกาศผลงานรัฐบาลไปแล้ว พลังงานชนิดใดที่จะถูกปรับขึ้นก่อนเพื่อลดภาระดินพอกหางหมูของกระทรวงพลังงานในขณะนี้ เพราะระยะเวลาแห่งการแถลงผลงานรัฐบาลย่อมจบลงในไม่ช้า เช่นเดียวกับราคาพลังงานที่ถึงทางตันต้องเลิกอุดหนุนก่อนเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กระทรวงพลังงานปักธงรอไว้แล้ว.
...................................

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 
berita unik